เมนู

7. มังคลชาดก


ว่าด้วยการถือมงคลตื่นข่าว


[87] "ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต
ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้น
ชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว
ครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก".

จบ มังคลชาดกที่ 7

อรรถกถามังคลชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพราหมณ์ผู้รู้จักลักษณะผ้าสาฎกผู้หนึ่ง ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส มงฺคลา สมูหตา ดังนี้.
ได้ยินว่า พราหมณ์ชาวพระนครราชคฤห์ผู้หนึ่ง เป็นผู้
ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฏฐิ
มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. หนูกัดคู่แห่งผ้าสาฎกที่เขา
เก็บไว้ในหีบ ครั้นถึงเวลาที่เขาสนานเกล้า กล่าวว่า จงนำผ้า
สาฎกมา คนทั้งหลายจึงบอกการที่หนูกัดผ้าแก่เขา เขาคิดว่า
ด้วยผ้าสาฎกทั้งคู่ที่หนูกัดนี้ จักคงมีในเรือนนี้ละก็ ความพินาศ

อย่างใหญ่หลวงจักมี เพราะผ้าคู่นี้เป็นอวมงคล เช่นกับตัว
กาฬกรรณี ทั้งไม่อาจให้แก่บุตรธิดา หรือทาสกรรมกร เพราะ
ความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักต้องมีแก่ผู้ที่รับผ้านี้ไปทุกคน
ต้องให้ทิ้งมันเสียที่ป่าช้าผีดิบ แต่ไม่กล้าให้ในมือพวกทาสเป็นต้น
เพราะพวกนั้นน่าจะเกิดโลภในผ้าคู่นี้ ถือเอาไปแล้วถึงความ
พินาศไปตาม ๆ กันได้ เราจักให้ลูกถือผ้าคู่นั้นไป เขาเรียกบุตร
มาบอกเรื่องราวนั้นแล้ว ใช้ไปด้วยคำว่า พ่อคุณ ถึงตัวเจ้าเอง
ก็ต้องไม่เอามือจับมัน จงเอาท่อนไม้คอนไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบ
อาบน้ำดำเกล้าแล้วมาเถิด.
แม้พระบรมศาสดาเล่า ในวันนั้น เวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจ
พวกเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพ่อลูกคู่นี้
ก็เสด็จไปเหมือนพรานเนื้อตามรอยเนื้อฉะนั้น ได้ประทับยืน ณ
ประตูป่าช้าผีดิบ ทรงเปล่งพระพุทธรังษี 6 ประการอยู่. แม้
มาณพรับคำบิดาแล้ว คอนผ้าคู่นั้นด้วยปลายไม้เท้า เหมือนคอน
งูเขียว เดินไปถึงประตูป่าช้าผีดิบ. ลำดับนั้นพระศาสดารับสั่ง
กะเขาว่า มาณพ เจ้าทำอะไร ? มาณพกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
โคดมผู้เจริญ ผ้าคู่นี้ถูกหนูกัด เป็นเช่นเดียวกับตัวกาฬกรรณี
เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง บิดาของข้าพระองค์เกรงว่า เมื่อ
ผู้ทิ้งมันเป็นคนอื่น น่าจะเกิดความโลภขึ้นถือเอาเสีย จึงใช้ข้า-
พระองค์ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเองก็มาด้วยหวังว่า
จักทิ้งมันเสีย. พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ก็จงทิ้งเถิด. มาณพ

จึงทิ้งเสีย พระศาสดาตรัสว่า คราวนี้สมควรแก่เราตถาคต
ดังนี้แล้ว ทรงถือเอาต่อหน้ามาณพนั้นทีเดียว ทั้ง ๆ ที่มาณพนั้น
ห้ามอยู่ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นอวมงคลเหมือนตัว
กาฬกรรณี อย่าจับ อย่าจับเลย พระศาสดาก็ทรงถือเอาผ้าคู่นั้น
เสด็จผันพระพักตร์มุ่งหน้าตรงไปพระเวฬุวัน. มาณพรีบไปบอก
แก่พราหมณ์ผู้บิดาว่า คุณพ่อครับ คู่ผ้าสาฎกที่ผมเอาไปทิ้งที่
ป่าช้าผีดิบนั้น พระสมณโคดมตรัสว่า ควรแก่เรา ทั้ง ๆ ที่ผม
ห้ามปราม ก็ทรงถือเอาแล้วเสด็จไปสู่พระเวฬุวัน ถึงพระสมณ-
โคดมทรงใช้สอยมัน ก็องย่อยยับ แม้พระวิหารก็จักพินาศ
ทีนั้นพวกเราจักต้องถูกครหา เราต้องถวายผ้าสาฎกอื่น ๆ มาก
ผืนแด่พระสมณโคดม ให้พระองค์ทรงทิ้งผ้านั้นเสีย เขาให้คน
ถือผ้าสาฎกหลายผืน ไปสู่พระวิหารเวฬุวันกับบุตร ถวายบังคม
พระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระสมณโคดม ได้ยินว่าพระองค์ทรงถือเอาคู่ผ้าสาฎก
ในป่าช้าผีดิบ จริงหรือพระเจ้าข้า ? ตรัสว่า จริง พราหมณ์
กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดม คู่ผ้าสาฎกนั้นเป็นอวมงคล เมื่อ
พระองค์ทรงใช้สอยมันจะต้องย่อยยับ ถึงพระวิหารทั้งสิ้นก็จัก
ต้องทำลาย ถ้าผ้านุ่ง ผ้าห่มของพระองค์มีไม่พอ พระองค์โปรด
รับผ้าสาฎกเหล่านี้ไว้ ทิ้งคู่ผ้าสาฎกนั้นเสียเถิด. ครั้งนั้นพระ-
ศาสดาตรัสกะเขาว่า พราหมณ์ พวกเรามีนามว่าบรรพชิต
ผ้าเก่า ๆ ที่เขาทิ้ง หรือตกอยู่ในที่เช่นนั้น คือ ที่ป่าช้าผีดิบ ที่

ท้องถนน ที่กองขยะ ที่ท่าอาบน้ำ ที่หนทางหลวง ย้อมควรแก่
พวกเรา ส่วนท่านเองมิใช่แต่จะเพิ่งเป็นคนมีลัทธิอย่างนี้ในบัดนี้
เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน ก็เคยมีลัทธิอย่างนี้เหมือนกัน เขากราบทูล
อาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราช ผู้ทรงธรรม เสวยราชสมบัติ
ในพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดใน
สกุลอุทิจจพราหมณ์ สกุลหนึ่ง ถึงความเป็นผู้รู้เดียงวาแล้ว บวชเป็น
ฤๅษียังอภิญญา และสมาบัติให้เกิดแล้ว พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์
ในกาลครั้งหนึ่ง ออกจากป่าหิมพานต์ มาถึงพระราชอุทยาน
ในพระนครราชคฤห์ พำนักอยู่ที่นั้น วันที่สองเข้าสู่พระนคร
เพื่อต้องการภิกขาจาร พระราชาทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว
รับสั่งให้นิมนต์มา อาราธนาให้นั่งในปราสาท ให้ฉันโภชนาหาร
แล้ว ทรงถือเอาปฏิญญา เพื่อการอยู่ในพระอุทยานตลอดไป.
พระโพธิสัตว์ฉันในพระราชนิเวศน์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน
กาลครั้งนั้น ในพระนครราชคฤห์ ได้มีพราหมณ์ชื่อว่า ทุสส-
ลักขณพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้รู้ลักษณะผ้า). เรื่องทั้งปวงตั้งแต่
เขาเก็บคู่ผ้าสาฎกไว้ในหีบเป็นต้นไป เช่นเดียวกันกับเรื่องก่อน
นั่นแหละ (แปลกแต่ตอนหนึ่ง) เมื่อมาณพไปถึงป่าช้า พระโพธิสัตว์
ไปคอยอยู่ก่อนแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูป่าช้า เก็บเอาคู่ผ้าที่เขาทิ้ง
แล้วไปสู่อุทยาน มาณพไปบอกเเก่บิดา. บิดาคิดว่า ดาบสผู้

ใกล้ชิดราชสกุล จะพึงฉิบหาย จึงไปสำนักพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า
ข้าแต่พระดาบส ท่านจงทิ้งผ้าสาฎกที่ท่านถือเอาแล้วเสียเถิด
จงอย่าฉิบหายเสียเลย. พระดาบสแสดงธรรมแก่พราหมณ์ว่า ผ้า
เก่า ๆ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ควรแก่พวกเรา พวกเรามิใช่พวกถือ
มงคลตื่นข่าว ขึ้นชื่อว่าการถือมงคลตื่นข่าวนี้ พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่สรรเสริญเลย
เหตุนั้น บัณฑิตต้องไม่เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว. พราหมณ์ฟังธรรม
แล้วทำลายทิฏฐิเสีย ถึงพระโพธิสัตว์เป็นสรณะแล้ว แม้พระ-
โพธิสัตว์ก็มีฌานมิได้เสื่อม ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปใน
เบื้องหน้า แม้พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มาแล้ว ครั้น
ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์
ตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-
" ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต
ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้น
ชื่อว่า ล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว
ครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่
เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก " ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส มงฺคลา สมูหตา ความว่า
มงคลเหล่านี้คือ ทิฏฐิมงคล มงคลที่เกิดเพราะสิ่งที่เห็น 1 สุตมงคล
มงคลที่เกิดเพราะเรื่องที่ฟัง 1 มุตมงคล มงคลที่เกิดเพราะอารมณ์
ที่ได้ทราบ 1 อันพระอรหันตขีณสพใด ถอนขึ้นได้แล้ว.

บทว่า อุปฺปาตา สุปินา จ ลกฺขณา จ ความว่า เรื่องอุบาท
ที่เป็นเรื่องใหญ่ 5 ประการเหล่านี้ คือ จันทรคราธรูป อย่างนี้
จักต้องมี สุริยคราธรูปอย่างนี้จักต้องมี นักษัตคราธรูปอย่างนี้
จักต้องมี อุกกาบาตรูปอย่างนี้จักต้องมี ลำพู่กันรูปอย่างนี้
จักต้องมี อีกทั้งความฝันมีประการต่าง ๆ ลักษณะทั้งหลาย
มีอาทิอย่างนี้ คือ ลักษณะคนโชคดี ลักษณะคนโชคร้าย ลักษณะ
หญิง ลักษณะชาย ลักษณะทาส ลักษณะทาสี ลักษณะคาม
ลักษณะศร ลักษณะอาวุธ ลักษณะผ้า เหล่านี้เป็นฐานแห่งทิฏฐิ.
ท่านผู้ใดถอนได้หมดแล้ว คือไม่เชื่อถือเอาเป็นมงคล หรืออวมงคล
แก่ตน ด้วยเรื่องอุปบาตเป็นต้นเหล่านี้.
บทว่า โส มงฺคลโทสวีติวตฺโต ความว่า ท่านผู้นั้นเป็นภิกษุ
ผู้ขีณาสพ ล่วงพ้น ก้าวผ่าน ละเสียได้ซึ่งโทษแห่งมงคลทุกอย่าง.
บทว่า ยุคโยคาธิคโก น ชาตุเมติ ความว่า กิเลสที่มารวม
กันเป็นคู่ ๆ โดยนัยมีอาทิว่า โกธะความโกรธ และอุปนาหะ
ความผูกโกรธ มักขะความลบหลู่ และปลาสะความตีเสมอดังนี้
ชื่อว่า ยุคะ. กิเลส 4 อย่างเหล่านี้ คือ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ
อวิชชาโยคะ ชื่อว่า โยคะ เพราะเป็นเหตุประกอบสัตว์ไว้ในสงสาร
ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพ บรรลุแล้วคือ ครอบงำไว้ได้แล้ว ล่วงพ้น
แล้วได้แก่ ผ่านไปแล้วด้วยดี ซึ่งยุคและโยคะ คือทั้งยุคและโยคะ
เหล่านั้น.

บทว่า น ชาตุเมติ ความว่า ท่านผู้นั้นย่อมไม่ถึงคือไม่ต้อง
มาสู่โลกนี้ ด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิใหม่ โดยแน่นอนทีเดียว.
พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ด้วยพระ-
คาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบ
สัจจะ พราหมณ์กับบุตร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระศาสดา
ทรงประชุมชาดกว่า บิดาและบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นบิดา
และบุตรคู่นี้แหละ ส่วนดาบสได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามังคลชาดกที่ 7

8. สารัมภชาดก


ว่าด้วยการพูดดี พูดชั่ว


[ 88 ] "พึงเปล่งแต่วาจาดี เท่านั้น ไม่พึงเปล่ง
วาจาชั่วเลย การเปล่งวาจาดีสำเร็จประโยชน์ได้
เปล่งวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน"

จบ สารัมภชาดกที่ 8

อรรถกถาสารัมภชาดกที่ 8


พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่
ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภโอมสวาทสิกขาบท ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กลฺยาณเมว มุญฺเจยฺย ดังนี้.
แม้เรื่องทั้งสอง ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวไว้แล้ว
ในนันทวิสาลชาดก ในหนหลัง. (แปลกแต่ว่า) ในชาดกนี้ พระ-
โพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นโคทรงกำลัง ชื่อ สารัมภะ ของพราหมณ์
ผู้หนึ่ง ในพระนครตักกสิลา. พระศาสดาตรัสเรื่องในอดีตนี้แล้ว
ครั้นตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" พึงเปล่งแต่วาจาดี เท่านั้น ไม่พึงเปล่ง
วาจาชั่วเลย การเปล่งวาจาดีสำเร็จประโยชน์ได้
เปล่งวาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน " ดังนี้.